ทฤษฎี Elliott Waves
ช่วงที่สี่สิบห้าของการอบรมฟอเร็กซ์
ยินดีต้อนรับกลับสู่การอบรมฟอเร็กซ์อย่างมืออาชีพในตลาดการเงิน สำหรับส่วนนี้เราจะพูดถึง Elliott Waves Theory โดยละเอียด
Elliott Waves
ทฤษฎี ElliottWavesมักจะใช้ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ทฤษฎีนี้อ้างอิงตามความเป็นไปได้และระบบของจักรวาล มนุษย์คือส่วนหนึ่งของจักรวาล ดังนั้นพฤติกรรมของมนุษย์จะได้รับมาจากระบบของจักรวาล Elliott Waves ได้นำระบบของจักรวาลมาใช้บนตลาดการเงินเพื่อคาดการณ์แนวโน้มและราคาตลาดในอนาคต
Elliott Waves ได้รวมการแกว่งหลัก 5 ชนิด และการแกว่งปรับตัว 3 ชนิด หมายเลข 3, 5 และ 8 อยู่บนเลขลำดับ Fibonacci การแกว่งหลักคือ 1, 2, 3, 4, 5ขณะที่ A, B และ C คือการแกว่งปรับตัว ซึ่ง B มีทิศทางเป็นไปตามแนวโน้มหลัก หมายเลข 1, 3 และ 5 คือการแกว่งหลักที่มีทิศทางเป็นไปตามแนวโน้มหลัก ส่วนหมาย 2 และ 4 คือการแกว่งกลับตัวหลัก การแกว่ง 1, 3, 5, B สอดคล้องกัน และการแกว่ง 2, 4, A และ C คือการกลับตัว Elliott Waves สามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบราบเรียบ ระลอกหรือซิกแซก การแกว่งแต่ละแบบสามารถรวมรูปแบบ Elliott Waves เข้าไปในโครงสร้างได้ เช่น กราฟนี้มีการแกว่ง 34 แบบ 34 คือตัวเลข Fibonacciด้วยเช่นกัน
การแกว่งสามารถจำแนกได้เป็น 9 ประเภท อ้างอิงตามขนาดและไทม์เฟรม
- Grand Super Cycle :หลายศตวรรษ
- Super Cycle :หลายทศวรรษ
- Cycle :1 ปีหรือมากกว่า
- Primary :ไม่กี่เดือนหรือหลายปี
- Intermediate :สัปดาห์ถึงเดือน
- Minor :สัปดาห์
- Minute :วัน
- Minuette :ชั่วโมง
- Subminuette :นาที
เงื่อนไขหลักของ Elliott Waves
- การแกว่งครั้งที่ 2 ต้องไม่ถึงจุดเริ่มต้นของการแกว่งครั้งที่ 1
- การแกว่งครั้งที่ 4 ต้องไม่ถึงจุดเริ่มต้นของการแกว่งครั้งที่ 3
- การแกว่งครั้งที่ 3 ต้องแตะที่ราคาสูงกว่าการแกว่งครั้งที่ 1 ในรูปแบบ Bullish
- การแกว่งครั้งที่ 3ต้องแตะที่ราคาต่ำกว่าการแกว่งครั้งที่ 1ในรูปแบบ Bearish
- การแกว่งครั้งที่ 3ต้องไม่สั้นกว่าการแกว่งครั้งที่ 1 และ 5 ซึ่งมักจะเป็นการแกว่งที่ยาวที่สุด
- การแกว่งครั้งที่ 4 ต้องไม่ถึงจุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 1
การแกว่งหมายเลข 1, 3 หรือ 5 สามารถขยายได้โดยการแกว่งย่อยๆ การแกว่งที่ขยายประกอบด้วยการแกว่งย่อย 5 อัน ที่มีรูปแบบ Elliott Waves ซึ่งสามารถตรวจพบได้บนไทม์เฟรมของการแกว่ง Elliott Waves หลัก การแกว่งครั้งที่ 3 มักจะมีส่วนขยายอยู่ในโครงสร้าง กราฟทางซ้ายแสดงส่วนขยายที่เกิดขึ้นบนการแกว่งครั้งที่ 1 กราฟตรงกลางแสดงส่วนขยายบนการแกว่งที่ 3 ส่วนกราฟทางขวาแสดงส่วนขยายบนการแกว่งครั้งที่ 5
ถ้าผู้เทรดไม่สามารถตรวจพบส่วนขยายและการแกว่งหลักได้ ผู้เทรดสามารถพิจารณาการแกว่งทั้ง 9 ชนิด ได้จากการวิเคราะห์ ส่วนขยายสามารถเกิดขึ้นบนการแกว่งย่อยได้เช่นกัน
บางครั้งการแกว่งหมายเลข 5 0tตามหลังจุดสูงของการแกว่งครั้งที่ 3 เนื่องจากการไล่ระดับอย่างรวดเร็วของการแกว่งครั้งที่ 3 ดังนั้นผู้เทรดสามารถพิจารณาการแกว่งครั้งที่ 3 และครั้งที่ 5 ได้ว่าเป็นรูปแบบ Double Topซึ่งบ่งบอกสัญญาณขาย
หากการแกว่งครั้งที่ 5 มีการแกว่งย่อย และการแกว่งย่อยเหล่านั้นไม่มีรูปแบบ Elliott Waves ผู้เทรดสามารถพิจารณาการแกว่งว่าเป็นรูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle)เมื่อแนวโน้มได้ผ่านจุดทะลุราคา สามารถวางคำสั่งขายบนแนวโน้ม Bullish และวางคำสั่งซื้อบนแนวโน้ม Bearishได้ บ่อยครั้งที่การแกว่งหลักแต่ละอันจะมีการแกว่งย่อย 3 อันรวมอยู่ด้วยเพื่อสร้างรูปแบบ Triangle ซึ่งบางครั้งอาจเป็นไดเวอร์เจนซ์
ส่วนใหญ่แล้วการแกว่งครั้งที่ 2 หรือ 4 อาจมีรูปร่างและโครงสร้างที่ซับซ้อน
ผู้เทรดสามารถเชื่อมต่อจุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 1 กับการแกว่งครั้งที่ 3 ได้โดยเส้นแนวโน้ม แล้ววางเส้นขนานบนจุดเริ่มต้นของการแกว่งครั้งที่ 2 ดังนั้นการแกว่งครั้งที่ 4 และ 5 จะสามารถคาดเดาได้เมื่อพิจารณาช่องทางนี้ หากการแกว่งครั้งที่ 4 ไม่ก่อตัวขึ้นมาบนเส้นที่กำหนด ไม่ว่าจะสูงกว่าหรือต่ำกว่า ผู้เทรดสามารถวาดเส้นแนวโน้มจากจุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 2 ไปยังจุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 4 จากนั้นวางเส้นขนานพร้อมเส้นแนวโน้มนี้บนจุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 3 เพื่อคาดการณ์จุดสิ้นสุดของการแกว่งครั้งที่ 5
การแกว่งปรับตัวจะปรับราคาตลาดและเคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับการแกว่งหลัก การแกว่งปรับตัวต้องมีการพิจารณาให้มากขึ้นเนื่องจากความซับซ้อน การแกว่งปรับตัวมี 3 ประเภท ได้แก่
- ซิกแซก
- แนวราบ
- สามเหลี่ยม
รูปแบบซิกแซก 5-3-5 คือแนวโน้มขาลงบนแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้นมันคือรูปแบบกลับตัว บนแนวโน้ม Bearish รูปแบบนี้จะมีทิศทางขาขึ้น รูปแบบซิกแซก 2 หรือ 3 สามารถพบได้บนแนวโน้มถ้ามีรูปแบบการแกว่งย่อยใดๆ แนวโน้มอันแรกคือ W ตามด้วยแนวโน้ม X และ Y
แนวราบคือการแกว่งปรับตัว3-3-5 อีกประเภท ในทีนี้จะเรียกว่าการแกว่ง A, B และ C โดยที่ C มีราคาค่อนข้างสูงกว่า A ซึ่งแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น้อยที่จะปรับการแกว่งหลัก ประเภทนี้มักเกิดหลังจากการแกว่งหลักที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับหมายเลข 1, 3 และ 5 รูปแบบแนวราบประเภทพิเศษก่อตัวขึ้นหลังจากการแกว่ง B ซึ่งปิดสูงกว่าการแกว่งครั้งที่ 5 และการแกว่ง C ต่ำกว่าการแกว่ง A บนแนวโน้ม Bullish ในกรณีที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น B อาจปิดเหนือการแกว่งครั้งที่ 5 ส่วนจุดสิ้นสุด C จะสูงกว่าจุดสิ้นสุด A
รูปแบบสามเหลี่ยม 3-3-3-3-3 มีการแกว่งติดต่อกัน 5 ครั้ง 3 ชุด ซึ่งการแกว่งย่อยอาจไม่มีรูปแบบการปรับตัว เช่นเดียวกับรูปแบบสามเหลี่ยม คลื่นและการแกว่งติดต่อกันจะทำให้เกิดความสมมาตร ซึ่งจะเป็นรูปแบบสามสามเหลี่ยมสมมาตรเฉียงขึ้น สามเหลี่ยมสมมาตรเฉียงลง และสามเหลี่ยมสมมาตรกลับตัว การแกว่งในที่นี้ชื่อว่า A, B, C, D และ Eเนื่องจากรูปแบบเหล่านี้คือรูปแบบต่อเนื่อง ดังนั้นมันจะแสดงอยู่บนรูปแบบปรับตัว คลื่น B ต้องใหญ่กว่าและยาวกว่าคลื่น A การแกว่งย่อยอาจเป็นได้ทั้งรูปแบบซิกแซกหรือแนวราบ รูปแบบสามเหลี่ยมจะสร้างขึ้นหลังจาก B หรือคลื่นอันที่ 4 ก่อตัวขึ้นมา รูปแบบสามเหลี่ยมอาจมีการแกว่งตัว 9 ครั้ง ดังนั้นแนวโน้มจะก่อตัวขึ้นหลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง
มีบางรูปแบบที่รูปแบบการแกว่งปรับตัวผสมซึ่งกันและกัน การผสมสามารถเป็นได้ทั้งซิกแซก แนวราบและสามเหลี่ยม เมื่อเป็นรูปแบบแรวราบหลายอันจะมีรูปแบบสามเหลี่ยมอันเดียวเท่านั้นที่สามารถเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นรูปแบบสุดท้ายของการผสมนี้ รูปแบบการผสมระยะสั้นมี WXYจุด ส่วนรูปแบบระยะยาวจะมีจุด WXYXZ จุด Elliott Waves คือรูปแบบที่ยากและมีความซับซ้อน ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจและหาประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงเป็นเวลาหลายปี การระบุจุดต้องทำในไทม์เฟรมที่นานกว่า เพื่อให้การแกว่งย่อยสามารถกำหนดในไทม์เฟรมที่สั้นกว่าได้ ปัญหาสำคัญในการหารูปแบบ Elliott Waves คือความสามารถในการบ่งชี้การแกว่งและจุด บนอินเทอร์เน็ตมีหลายเว็บไซต์ที่บริการสื่อที่มีประโยชน์สำหรับการใช้ Elliott Waves เช่นที่เว็บไซต์ Elliottwave.com
สำหรับส่วนนี้จบลงเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ในการอบรมส่วนอื่นๆ ขอให้โชคดี
Comments